โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infections)

โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้ออีโคไล โดยเชื้อแบคทีเรียอาจเดินทางผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปยังท่อไต สาเหตุจะมาจากอะไรนั้นลองอ่านในหน้านี้ดู


โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้ออีโคไล โดยเชื้อแบคทีเรียอาจเดินทางผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปยังท่อไตและทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะและไตได้

อาการของการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ

  • ปวดท้อง ปวดสีข้าง ปวดหลังด้านล่าง
  • รู้สึกปวด เหมือนมีแรงกดทับที่อุ้งเชิงกราน
  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีขาวขุ่น
  • ปัสสาวะบ่อย รู้สึกปวดปัสสาวะมากและกะทันหัน
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ
  • ปัสสาวะเป็นเลือด

หากรู้สึกแสบร้อนเวลาปัสสาวะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสมเพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากเชื้อราในช่องคลอด ท่อปัสสาวะอักเสบ หรือการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ โดยในผู้ชายมักมีอาการปวดอุ้งเชิงกรานและบริเวณอัณฑะ

อาการของการติดเชื้อที่ไต

หากติดเชื้อที่ไต จะมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน

ควรพบแพทย์เมื่อไร

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะอาการของการติดเชื้อที่ไต เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาฉุกเฉินหากมีอาการของโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ พร้อมกับมีไข้ ปวดหลัง อาเจียน

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

  • การมีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ
  • เป็นผู้ป่วยเบาหวาน
  • เคยเป็นโรคติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรือไตในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
  • ใช้ยาฆ่าตัวอสุจิ
  • ไม่ขลิบหนังหุ้มปลายหรือมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก

ภาวะแทรกซ้อน

การได้รับการรักษาช้าไม่ทันท่วงทีอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังต่อไปนี้

  • การติดเชื้อซ้ำโดยเฉพาะในเพศหญิง ซึ่งอาจติดเชื้อซ้ำตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปในระยะเวลา 6 เดือน หรือตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 ปี
  • การคลอดก่อนกำหนดหรือเด็กมีน้ำหนักตัวน้อยเนื่องจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะระหว่างตั้
  • ไตเสียหายถาวร
  • ท่อปัสสาวะตีบในเพศชาย
  • การติดเชื้อในกระแสเลือด

การตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  • การเพาะเชื้อปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีแบคทีเรียในปัสสาวะหรือไม่
    แพทย์มักให้เข้ารับการตรวจปัสสาวะและการเพาะเชื้อปัสสาวะในกรณีดังต่อไปนี้
    • ผู้ป่วยมีอาการของโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเป็นครั้งแรก
    • แพทย์สงสัยว่ามีการติดเชื้อที่ไต
    • ผู้ป่วยมีอาการของโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะพร้อมกับมีไข้และปวดลูกอัณฑะ
    • ผู้ป่วยมีประวัติโรคติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะที่ดื้อยา
    • ผู้ป่วยรับประทานยาปฏิชีวนะ แต่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 24 – 48 ชั่วโมง
    • ผู้ป่วยติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะบ่อย
    • ผู้ป่วยตั้งครรภ์

หากอาการไม่ดีขึ้นหลังได้รับการรักษาหรือสงสัยว่าระบบทางเดินปัสสาวะอุดตัน แพทย์อาจทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมดังนี้

  • อัลตราซาวด์
  • CT สแกน
  • ส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ

การรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

ยาปฏิชีวนะ

บางครั้งโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะที่อาการไม่รุนแรงนั้นอาจหายได้เอง แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะเมื่อมีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ยาปฏิชีวนะที่ใช้นั้นมีหลายประเภท ได้แก่

  • อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin)
  • เซฟาโลสปอริน (Cephalosporins)
  • ดอกซีไซคลีน (Doxycycline)
  • ฟอสโฟมัยซิน (Fosfomycin)
  • ไนโตรฟูรานโทอิน (Nitrofurantoin)
  • ควิโนโลน (Quinolones)

แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาทุกวัน วันเว้นวัน หลังมีเพศสัมพันธ์ หรือเมื่อมีอาการ โดยหลังรับประทานยาอาการมักดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาให้หมดครบตามที่แพทย์สั่งแม้ว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่มีอาการใด ๆ แล้วเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา หากติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อยแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาในปริมาณน้อย ๆ เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นซ้ำ

การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

  • รักษาสุขอนามัยที่ดี

ตามธรรมชาติแล้วผู้หญิงจะมีท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลังอุจจาระแล้วควรเช็ดจากหน้าไปหลังเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้ออีโคไลจากทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ ระหว่างที่มีประจำเดือนนั้น ควรหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยทั้งแบบสอดและแบบแผ่นเพื่อเป็นการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ซึ่งอาจไปทำลายเชื้อแบคทีเรียเจ้าถิ่นจนเสียสมดุลและทำให้ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อสูงขึ้น

  • ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว

ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำจะทำให้ปวดปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยกำจัดแบคทีเรียออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ

  • ปัสสาวะทิ้งทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์

การปัสสาวะช่วยกำจัดของเสียและแบคทีเรีย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ การปัสสาวะทันทีหลังการมีเพศสัมพันธ์ช่วยชำระล้างแบคทีเรียที่อาจจะเข้าไปในท่อปัสสาวะ หากปัสสาวะไม่ออก ควรล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าตัวอสุจิและหมวกครอบปากมดลูก

วิธีคุมกำเนิดสองวิธีนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้ในบางคน